Design Thinking

เข้าใจ Design Thinking Process เพื่อแก้ปัญหาในองค์กร

Design Thinking ช่วยแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรม ตอบโจทย์ลูกค้าในยุค Digital Transformation

March 19, 2025
·
0
mins
เกสรา นำธรรมวงศ์: ผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารองค์กร
เกสรา นำธรรมวงศ์
เข้าใจ Design Thinking Process เพื่อแก้ปัญหาในองค์กร
Share
Consult with us
Elevate your experience with us

เจาะลึก Design Thinking Process ฉบับเข้าใจง่าย จัดการทุกปัญหาภายในองค์กร

ทำความรู้จักกับ Design Thinking Framework

Design Thinking Framework หรือกระบวนการคิดเชิงออกแบบ เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุค Digital Transformation โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาและพัฒนานวัตกรรมหรือโซลูชันใหม่ ๆ ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เพื่อสร้าง Brand Loyalty ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจขององค์กรสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในตลาดที่มีการแข่งขันอันดุเดือด

เคลียร์ทุกปัญหาด้วย Design Thinking Process

อยากแก้ปัญหาภายในองค์กรโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบต้องเริ่มยังไง? Design Thinking มีกี่ขั้นตอน? ในบทความนี้ BASE Playhouse จะพาไปทำความเข้าใจกับ Design Thinking Process ทั้ง 5 ขั้นตอนอย่างลึกซึ้งแต่เข้าใจง่าย สามารถนำไปปรับใช้กับการทำงานได้ทุกองค์กร

1. Empathize

Design Thinking Process ขั้นตอนแรก คือ Empathize หรือการทำความเข้าใจ หากจะถามว่าองค์กรต้องทำความเข้าใจใคร? คำตอบนั้นจะเป็นอะไรไปได้นอกจาก “กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” ที่ใช้งานสินค้าหรือบริการขององค์กรจริง ซึ่ง Empathize นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของ Design Thinking Process เพราะทำให้เข้าใจ “ปัญหา” ของผู้บริโภคอย่างแท้จริงและนำปัญหาเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไขได้ทันเวลา แปรเปลี่ยนจากวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างแต้มต่อให้อยู่เหนือคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ ในตลาดได้

ในขณะเดียวกัน หากองค์กรไม่ให้ความสำคัญกับขั้นตอน Empathize ไม่มีการเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ ไม่สนใจความต้องการของลูกค้า ออกแบบสินค้าหรือบริการโดยเอาบรรทัดฐานความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาของสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ย่อมไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและเสี่ยงต่อการขาดทุนอย่างไม่ต้องสงสัย

Design Thinking Framework ขั้นตอน Empathize เป็นขั้นตอนที่พยายามทำความเข้าใจและวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อให้เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาและเข้าใจข้อบกพร่องของสินค้าหรือบริการที่ต้องนำไปพัฒนาต่ออย่างถ่องแท้ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ใช้งานจริง สามารถทำได้หลากหลายวิธี ทั้งการตั้งคำถามเพื่อนำไปสัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรม หรือแม้กระทั่งการทดลองเป็นผู้ใช้งานจริงด้วยตัวเอง

ตัวอย่างเช่น การทำธุรกิจร้านกาแฟควรพูดคุยสอบถามลูกค้าภายในร้านอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับฟีดแบ็กของรสชาติเครื่องดื่มและความพึงพอใจในการใช้บริการ เช่น ลูกค้าชื่นชอบบรรยากาศภายในร้าน แต่รู้สึกว่าได้รับเครื่องดื่มค่อนข้างช้า เป็นต้น

2. Define

Design Thinking Process ขั้นตอนที่สอง คือ Define หรือการระบุปัญหา ซึ่งเป็นขั้นตอนถัดมาหลังจากเราทราบปัญหาที่ต้องการแก้ไขหรือประเด็นที่ต้องการพัฒนาอย่างชัดเจน ตลอดจนพิจารณาอย่างรอบด้านจากขั้นตอน Empathize แล้ว โดยขั้นตอน Define ใน Design Thinking Process จะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อเป็นการระบุปัญหา (Problem Statement) สำหรับเป็นแนวทางในการปฏิบัติขั้นตอนต่อ ๆ ไปในทิศทางที่ถูกต้องโดยไม่หลงทางให้เสียเวลา

โดย Problem Statement ในขั้นตอน Define จะช่วยกำหนดกรอบของปัญหาให้สมาชิกภายในทีมสามารถมุ่งมั่นแก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างตรงจุด ผ่านการตอบคำถามต่อไปนี้

คำถามแรกคือ WHO? ใครคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือกลุ่มผู้บริโภคที่ประสบปัญหาเหล่านี้

คำถามที่สองคือ WHAT? ปัญหา ข้อบกพร่อง หรือความท้าทายของสิ่งที่ต้องการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาคืออะไร

และคำถามสุดท้าย WHY? ทำไมปัญหาเหล่านี้ถึงสำคัญและต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว

การตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนจะช่วยสร้าง Problem Statement ที่แข็งแรงและสามารถนำไปใช้ในขั้นตอนต่อ ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงจากผู้ใช้งานจริง ไม่ใช่การคาดเดาเอาเองตามความรู้สึก

ตัวอย่างเช่น บริษัทออกแบบเว็บไซต์ได้รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานว่าเว็บไซต์นั้น “ใช้งานยาก” ก็ควรวิเคราะห์ลึกลงไปอีกว่าคำว่า “ยาก” ของผู้ใช้งานหมายถึงยากในส่วนใด เช่น การออกแบบหน้าเว็บไซต์ดูซับซ้อนทำให้เกิดความสับสน เป็นต้น

3. Ideate

Design Thinking Process ขั้นตอนที่สาม คือ Ideate หรือการระดมความคิด เป็นขั้นตอนที่นักออกแบบหรือสมาชิกภายในทีมจะเริ่มจุดประกายความคิดและสร้างสรรค์ไอเดียต่าง ๆ โดยไม่มีกรอบมาจำกัดหลังจากทำความเข้าใจปัญหาและความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างกระจ่างชัดเจน

ขั้นตอน Ideate ของ Design Thinking Framework เน้นการระดมสมอง แชร์ไอเดียแปลกใหม่จากหลากหลายมุมมอง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยสิ่งที่สำคัญคือ “การคิดนอกกรอบ” เพราะสมาชิกภายในทีมทุกคนที่เข้าร่วมขั้นตอน Ideate จะต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกคน ยอมรับความแตกต่าง และไม่ตัดสินถูกผิดจากอคติส่วนตัว

การที่สมาชิกภายในทีม “กล้า” แสดงความคิดเห็นในมุมมองของตัวเอง จะเผื่อแผ่พลังงานบวกและช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เพื่อนร่วมทีมด้วย เนื่องจากกุญแจสำคัญของขั้นตอน Ideate คือ ยิ่งแสดงความคิดเห็นเยอะ ยิ่งเห็นมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การเลือกสรรกระบวนการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

ซึ่งขั้นตอน Ideate จะมีประสิทธิภาพสูงสุดได้ก็ต่อเมื่อองค์กรให้ความสำคัญกับ “Ideate Session” เช่น การจัด Workshop นอกสถานที่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ ๆ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบมากกว่านั่งอยู่ในออฟฟิศ การจัดกิจกรรม Ice Breaking เพื่อเสริมสร้างความสนิทสนมและความสามัคคีของสมาชิกภายในทีม ลดความตึงเครียดระหว่างทำงาน เป็นต้น 

และ “Ideate Techniques” หรือเทคนิคการระดมความคิดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การ Brainstorming เสนอความคิดของตัวเองและรับฟังคนอื่น ๆ โดยไม่ปิดกั้น การ Storyboarding สร้างภาพ (Visualize) ให้กับปัญหาเพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ การ Reverse Thinking มองปัญหาในมุมกลับเพื่อทบทวนและพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เราอาจจะมองข้ามไป เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น ระดมความคิดเพื่อแก้ไขปัญหา “ลูกค้ารู้สึกว่าต้องใช้ระยะเวลาในการรอคิวเพื่อสั่งอาหารนานเกินไป” ขั้นตอน Ideate อาจจะได้วิธีการแก้ปัญหาแบบต่าง ๆ เช่น การสร้าง QR Code เพื่อสแกนสั่งอาหารเมื่อถึงร้านได้ในทันที การสั่งอาหารล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชันและเลือกเวลารับบริการเพื่อหลีกเลี่ยงการรอคิว เป็นต้น

4. Prototype

Design Thinking Process ขั้นตอนที่สี่ คือ Prototype หรือการสร้างต้นแบบ หลังจากระดมความคิดและแลกเปลี่ยนไอเดียในขั้นตอน Ideate แล้ว ก็ได้เวลาเข้าสู่ Design Thinking Framework ในขั้นตอน Prototype หรือขั้นตอนการลงมือทำออกมาให้เป็นจริงผ่าน “การสร้างต้นแบบ” เพื่อเตรียมนำไปทดลองใช้ในขั้นตอนต่อ ๆ ไป ซึ่งต้นแบบสำหรับขั้นตอนนี้จะเป็นรูปแบบอะไรก็ได้ ตั้งแต่ตัวเทสต์ไปจนถึงโปรดักต์ที่ถูกผลิตออกมาให้คล้ายของจริง เพราะกุญแจสำคัญของขั้นตอนนี้ คือ การนำเสนอวิธีแก้ปัญหาหรือไอเดียในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบเห็นภาพ

การสร้างต้นแบบในขั้นตอน Prototype สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น

4.1 Mockup

การสร้าง Mockup ให้มีรายละเอียดใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์จริงมากที่สุด ทั้งสี ฟอนต์ และการจัดองค์ประกอบต่าง ๆ 

4.2 Storyboarding

Storyboarding เป็นการแสดงภาพ ลำดับเหตุการณ์ กระบวนการที่เกิดขึ้น หรือขั้นตอนการใช้งานผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของประสบการณ์ที่ผู้ใช้บริการจะได้รับ

4.3 Schematic Diagramming

Schematic Diagramming เป็นการสร้างภาพรวมเพื่อแสดงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน โดยใช้สัญลักษณ์หรือเส้นในการแสดงการทำงานอย่างเป็นระบบ เหมาะสำหรับการออกแบบทางเทคนิคที่ค่อนข้างซับซ้อน

4.4 Interactive Prototypes

Interactive Prototypes การสร้างต้นแบบประเภทนี้มักใช้ออกแบบฟังก์ชันที่มีการโต้ตอบ เพราะสามารถทดสอบการใช้งานได้คล้ายกับการใช้งานจริง เช่น การคลิกปุ่มต่าง ๆ บนเว็บไซต์ การเลื่อนหน้าในแอปพลิเคชัน เป็นต้น 

ข้อดีของขั้นตอน Prototype คือ ทำให้องค์กรสามารถทราบได้ทันทีว่า นวัตกรรมใหม่ที่กำลังพัฒนาอยู่สามารถนำไปใช้งานจริงได้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากแค่ไหน หากลงทุนไปแล้วจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือเปลืองทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเพิ่มโอกาสในการสร้างโซลูชันหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ

ตัวอย่างเช่น การออกแบบเว็บไซต์ซื้อ - ขายเสื้อผ้าออนไลน์ ต้องมีการสร้าง Prototype ในการทดสอบการเปิดให้ใช้บริการจริง ตั้งแต่ทดสอบการเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า การชำระเงิน ไปจนถึงพิจารณาภาพรวมของหน้าเว็บไซต์ว่าใช้งานง่ายหรือซับซ้อนแค่ไหน

5. Test

Design Thinking Process ขั้นตอนสุดท้าย คือ Test หรือการทดสอบกับผู้ใช้งานจริง เพื่อให้องค์กรเห็นจุดบกพร่องหรือปัญหาของ Prototype จากมุมมองของผู้ใช้งานจริงและสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ซึ่ง Design Thinking Process ในขั้นตอน Test เป็นขั้นตอนสำคัญในการประหยัดทรัพยากรขององค์กร ไม่ให้เกิดการเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์จากการเปิดตัวและวางขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานหรือสร้างประสบการณ์แย่ ๆ ในการใช้บริการ

ขั้นตอนการ Test ใน Design Thinking Process ที่ดี ควรตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

5.1 นวัตกรรมนี้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานจริงหรือไม่?

5.2 นวัตกรรมนี้มีตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคตมารองรับหรือไม่?

5.3 นวัตกรรมนี้สามารถใช้งานได้ง่ายและไม่ซับซ้อนใช่หรือไม่?

ยิ่งสำหรับโลกในปัจจุบัน ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้า ขั้นตอนการ Test จึงเป็นขั้นตอนที่ต้องการซ้ำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้องค์กรสามารถปรับปรุงโซลูชันและพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ตัวอย่างเช่น การทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ สำหรับ Mobile Banking เช่น การเข้าสู่ระบบ การโอนเงิน การดูยอดเงินในบัญชี เป็นต้น เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้ใช้บริการ

Design Thinking Process ทั้ง 5 ขั้นตอนที่ BASE Playhouse นำมาฝากในวันนี้ สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุก ๆ องค์กร เพราะหลักการในการสร้างความพึงพอใจ ความประทับใจ และประสบการณ์ดี ๆ ให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายและผู้ใช้งานจริง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาธุรกิจขององค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

อ้างอิงจาก

Design Thinking การคิดเชิงออกแบบ เครื่องมือขับเคลื่อนองค์กร, disrupt

Design Thinking (Design Thinking Process) หัวใจหลักในการพัฒนาธุรกิจ, Code Genius

หลักสูตรแนะนำ

Design Thinking for Creating Innovation

ในยุคที่เทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ การนำทักษะการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ และใช้ในการแก้ไขปัญหาและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างให้องค์กรสามารถปรับตัวได้อย่างคล่องตัว ผ่านการคิด และออกแบบนวัตกรรมใหม่ ๆ

คอร์สนี้เหมาะกับ

'Design Thinking for Creating Innovation' เหมาะสำหรับบุคลากรในระดับผู้จัดการ และผู้บริหารที่ต้องการพัฒนาทักษะความคิดเชิงออกแบบอย่างสร้างสรรค์

สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ

  • ได้รับมุมมองที่หลากหลาย - เริ่มจากความเข้าใจกระบวนการคิด ทำให้เกิดขึ้นได้จริง ประยุกต์ใช้เป็น เเละนำไปใช้กับทีมทำงานได้ เข้าใจลักษณะของแต่ละขั้นตอนที่แตกต่างกัน ที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทขององค์กรหรือของการทำงานที่แตกต่างกันได้
  • ได้รับทักษะขั้นสูงของกระบวนการคิดเชิงออกแบบ - เพื่อทำให้ผู้เรียนมีทางเลือกในการหยิบทักษะแต่ละตัวไปใช้ และทำให้ผู้เรียนสามารถออกแบบวิธีการแก้ปัญหาได้ เมื่อเจอเคสในการสร้างนวัตกรรมจริงในองค์กร ที่ละเอียดและซับซ้อน พร้อมทั้งสามารถนำทักษะขั้นสูงไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มองภาพรวมที่ใหญ่กว่า - วิธีการการแก้ปัญหาที่ดี นอกจากจะต้องตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับมนุษย์ได้ ยังต้องสามารถต่อยอดเพื่อทำให้มันสามารถสร้างได้จริง และสามารถยั่งยืน (Sustain) ในมุมของธุรกิจได้ เพื่อทำให้ไอเดียหรือกระบวนการคิดที่ได้จากกระบวนการนี้ สามารถต่อยอดไปเป็นนวัตกรรมจริงในองค์กร

รายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติม > อ่านที่นี่

ติดต่อปรึกษา BASE Playhouse ฟรี! โทร 094-191-4626 หรือกรอกข้อมูลเพื่อติดต่อกลับ ที่นี่